วันอังคารที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ตอบคำถามความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการสื่อสาร

1. อธิบายความหมายของระบบสื่อสาร 
ตอบ  ความร่วมมือกันหรือความคล้ายคลึงกัน การสื่อสาร จึงหมายถึง  “ ารกระทำของคนเราที่มุ่ง
สร้างความร่วมมือกันหรือคล้ายคลึงกัน นั่นคือ การพยายามแลกเปลี่ยนข่าวสาร ความคิดและ
ทัศนคติซึ่งกันและกัน โดยอาศัยความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายเป็นที่ตั้งเพื่อให้เกิดความเข้าใจ
ตรงกัน
” 
2. บอกองค์ประกอบของการสื่อสาร
ตอบ  การสื่อสารต้องประกอบด้วยผู้ส่งสาร (sender) และผู้รับสาร (receiver) เสมอ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีบุคคลหรือกลุ่มคนที่ผู้ส่งสารตั้งใจส่งสารไปถึง (intended receiver) แต่การสื่อสารยังต้องมีองค์ประกอบนอกเหนือจากผู้ส่งสารและผู้รับสาร นั่นคือตัวกลางที่เข้ามาช่วยอธิบายให้กระบวนการสื่อสารมีความสมบูรณ์ชัดเจนยิ่งขึ้น ดังนั้น การสื่อสารโดยทั่วไปจึงประกอบด้วยองค์ประกอบ 5 ประการ ดังนี้

1. ผู้ส่งสาร (Sender) หรือผู้สื่อสาร(Communicator) หรือแหล่งสาร (Source) เป็นแหล่ง หรือต้นทางหรือผู้ที่นำเรื่องราวข่าวสาร ความรู้ ตลอดจนเหตุการณ์ต่างๆ เพื่อส่งไปยังผู้รับซึ่งอาจเป็นบุคคลหรือกลุ่มชนก็ได้ ผู้ส่งนี้จะเป็นบุคคลเพียงคนเดียว กลุ่มบุคคลหรือสถาบันต่าง ๆ ก็ได้

2. เนื้อหา (Message) ได้แก่ เรื่องราวที่ส่งออกมาจากผู้ส่งสาร เช่น ข่าวสารความรู้ ความคิดเห็น บทเพลง ภาพ ฯลฯ เพื่อให้ผู้รับสารได้รับข้อมูลเหล่านี้

3. สื่อหรือช่องทางในการนำสาร (Medium or Channel) หมายถึง ตัวกลางที่ช่วยถ่ายทอดข้อมูลและเหตุการณ์ต่าง ๆ จากผู้ส่งสารไปยังผู้รับ เช่น วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์

4. ผู้รับสารหรือกลุ่มเป้าหมาย (Receiver or Target Audience) ได้แก่ ผู้รับเนื้อหาเรื่องราวจากแหล่งหรือจากการที่ผู้ส่งสารส่งมา ผู้รับสารอาจเป็นบุคคล กลุ่มชน หรือสถาบันก็ได้

5. ปฏิกิริยาสนองกลับ (Feedback) เมื่อผู้ส่งสารส่งข้อมูลไปยังผู้รับสาร ผลที่เกิดขึ้นคือ การที่ผู้รับอาจมีความเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ยอมรับหรือปฏิเสธ พอใจหรือไม่พอใจ ฯลฯ และเมื่อเกิดผลกระทบทางใดทางหนึ่งขึ้น ก็จะทำให้ผู้รับสารส่งข้อมูลกลับมายังผู้ส่งสาร ซึ่งอาจเป็นคำพูดโต้ตอบ หรือการแสดงความคิดเห็น หรือการใช้ท่าทาง เช่น แสดงอาการง่วงนอน ปรบมือ ยิ้ม พยักหน้า เป็นต้น เพื่อทำให้ผู้ส่งสารทราบว่า ผู้รับสารมีความพอใจหรือมีความเข้าใจในความหมายของข้อมูลที่ส่งไปหรือไม่ 
3. อธิบายวิธีการและลักษณะการส่งสัญญาณข้อมูล
ตอบ โดยปกติคอมพิวเตอร์ทำงานกับสัญญาณที่เป็นระบบดิจิตอล คือ แทนด้วย 0 กับ 1 หรือแรงดันไฟฟ้าสูงกับต่ำ ในระบบเครือข่ายแบบ LAN การส่งข้อมูลในลักษณะของสัญญาณดิจิตอลธรรมดานี้จะเรียกว่า Baseband คือใช้ความถี่พื้นฐานของสัญญาณข้อมูลจริง ไม่ได้ปรับปรุงแต่งเติมแต่อย่างใด แต่การส่งแบบนี้มีปัญหาคือ ถูกรบกวนได้ง่ายด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือสัญญาณรบกวนอื่น ๆ เพราะสัญญาณไฟฟ้ามีรูปแบบไม่แน่นอน แล้วแต่ตัวข้อมูลจริง ถ้ามีอะไรแปลกปลอมเข้ามาก็แยกได้ยากว่าอะไรคือข้อมูล อะไรคือสิ่งแปลกปลอม ดังนั้นจึงมีการนำเอาคลื่นความถี่สูงเข้าใช้เป็นคลื่นพาหะ (carrier) โดยผสมสัญญาณข้อมูลเข้ากับคลื่นพาหะนี้ในแบบของการผสมทางความถี่ (FM: Frequency Modulation) แบบเดียวกับการส่งวิทยุกระจายเสียง FM นั่นเอง แต่เนื่องจากสัญญาณที่เราผสมเข้าไปในคลื่นพาหะนี้มีเพียง 2 ระดับ คือ 0 กับ 1 ดังนั้นคลื่นที่ส่งจึงมีลักษณะเป็นสองความถี่สลับกันไป ดังรูป หรือในบางกรณีอาจใช้การผสมสัญญาณตามจังหวะหรือเฟส (phase) ของสัญญาณก็ได้ การที่นำคลื่นพาหะมาใช้นี้ทำให้ผู้รับสามารถแยกความแตกต่างระหว่างข้อมูล 0 กับ 1 ได้ดีขึ้น โดยดูจากความถี่ ซึ่งถูกรบกวนได้ยากกว่า และการใช้สัญญาณความถี่สูง (แถบความถี่กว้าง) มาช่วยในการส่งข้อมูลนี้ เราเรียกว่า Broadband

วิธีการนี้ดูเหมือนว่าจะมีประสิทธิภาพดีกว่าการส่งในแบบ Baseband และส่งได้ด้วยความเร็วสูงกว่า แต่ก็เสียค่าใช้จ่ายมากกว่า เพราะต้องเพิ่มอุปกรณ์ในการจัดการกับสัญญาณที่ความถี่สูงๆ ระดับความถี่วิทยุ (RF: Radio Frequency) เข้าไปด้วย และต้องใช้สาย STP หรือโคแอกเชียล ที่มีโลหะถักล้อมรอบสายกลางอยู่ ในการนำสัญญาณ

ในปัจจุบันระบบเครือข่ายแบบ LAN จะยังคงใช้การรับส่งสัญญาณแบบ Baseband เป็นหลัก ส่วน Broadband จะใช้กับการรับส่งผ่านสายที่มีระยะทางไกล ๆ เช่นการในเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต โดยใช้ระบบ ADSL เป็นต้น

สำหรับการรับส่งสัญญาณผ่านสายใยแก้วนำแสงนั้น จะใช้สัญญาณแสงในแบบ Broadband โดยผสมสัญญาณดิจิตอลเข้ากับสัญญาณแสง ซึ่งมีความถี่สูงกว่าคลื่นวิทยุขึ้นไปอีก ทำให้สามารถรับส่งข้อมูลได้ในอัตราสูง
4. สื่อกลางที่จะนำมาใช้ในการเชื่อมต่อระบบสื่อสารให้สามารถสื่อสารได้
ตอบ ตัวกลาง(Medium)
เป็นตัวกลางหรือสื่อกลางที่ทำหน้าที่นำข่าวสารในรูปแบบต่าง ๆ จากผู้ส่งหรืออุปกรณ์ส่งต้นทางไปยังผู้รับ หรืออุปกรณ์รับปลายทาง ซึ่งมีหลายรูปแบบได้แก่ สายไป ขดลวด สายเคเบิล สายไฟเบอร์ออฟติก ตัวกลางอาจจะอยู่ในรูปของคลื่นที่ส่งผ่านทางอากาศ เช่น คลื่นไมโครเวฟ คลื่นดาวเทียม หรือคลื่นวิทยุ เป็นต้น

การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์สำหรับสื่อสารข้อมูล 
เป็นการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ต้นทางเข้ากับคอมพิวเตอร์ปลายทาง โดยใช้ตัวกลางหรือสื่อกลางสำหรับเชื่อมต่อ ซึ่งสามารถทำได้หลายรูปแบบ การต่อแบบสายตรงตามรูปนั้น อาจจะต่อตรงโดยใช้ช่องต่อแบบขนานของเครื่อง ทั้ง 2 เครื่อง เพื่อใช้สำหรับโอนย้ายข้อมูลระหว่างเครื่องได้ หรืออาจจะต่อโดยใช้อินเทอร์เฟสคาร์ดใส่ไว้ใน เครื่องสำหรับเป้นจุดต่อก็ได้ ขึ้นอยู่กับลักษณะของการใช้งานเป็นการเชื่อมต่อ ระยะไกลจากคอมพิวเตอร์ต้นทางไปยังปลายทาง โดยผ่านเครือข่ายโทรศัพท์สาธารณะ
5. บอกอุปกรณ์ที่สามารถใช้ในการสื่อสารข้อมูลคอมพิวเตอร์ได้อย่างเหมาะสม
ตอบ  
 ฮับ หรือ รีพีทเตอร์ (Hub, Repeater)
          เป็นอุปกรณ์ที่ทวน และขยายสัญญาณ เพื่อส่งต่อไปยังอุปกรณ์อื่น ให้ได้ระยะทางที่ยาวไกลขึ้น ไม่มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลก่อนและหลัง การรับ-ส่ง และไม่มีการใช้ซอฟท์แวร์ใดๆ มาเกี่ยวข้องกับอุปกรณ์ชนิดนี้ การติดตั้งจึงทำได้ง่าย ข้อเสียคือ ความเร็วในการส่งข้อมูล จะเฉลี่ยลดลงเท่ากันทุกเครื่อง เมื่อมีคอมพิวเตอร์มาเชื่อมต่อมากขึ้น
 สวิทช์ หรือ บริดจ์ (Switch, Bridge)
          เป็นอุปกรณ์สำหรับเชื่อมต่อ เครือข่ายท้องถิ่น หรือ แลน (LAN) ประเภทเดียวกัน ใช้โปรโตคอลเดียวกัน สองวงเข้าด้วยกัน เช่น ใช้เชื่อมต่อ อีเธอร์เน็ตแลน (Ethernet LAN) หรือ โทเคนริงก์แลน (Token Ring LAN) ทั้งนี้ สวิทช์ หรือ บริดจ์ จะมีความสามารถในการเชื่อมต่อ ฮาร์ดแวร์ และตรวจสอบข้อผิดพลาด ของการส่งข้อมูลได้ด้วย ความเร็วในการส่งข้อมูล ก็มิได้ลดลง และติดตั้งง่าย
 เร้าเตอร์ (Router)
           เป็นอุปกรณ์ที่ทำงานคล้าย สวิทช์ แต่จะสามารถเชื่อมต่อ ระบบที่ใช้สื่อ หรือสายสัญญาณต่างชนิดกันได้ เช่น เชื่อมต่อ อีเธอร์เน็ตแลน
(Ethernet LAN) ที่ส่งข้อมูลแบบ ยูทีพี (UTP: Unshield Twisted Pair) เข้ากับ อีเธอร์เน็ตอีกเครือข่าย แต่ใช้สายแบบโคแอ็กเชียล
(Coaxial cable) ได้ นอกจากนี้ยังช่วยเลือก หรือกำหนดเส้นทางที่จะส่งข้อมูลผ่าน และแปลงข้อมูลให้เหมาะสมกับการนำส่ง แน่นอนว่าการติดตั้งย่อมยุ่งยากมากขึ้น
 เกทเวย์ (Gateway)
           เป็นอุปกรณ์ที่มีความสามารถสูงสุด ในการเชื่อมต่อเครือข่ายต่างๆ เข้าด้วยกัน โดยไม่มีขีดจำกัด ทั้งระหว่างเครือข่ายต่างระบบ หรือแม้กระทั่ง โปรโตคอล จะแตกต่างกันออกไป เกทเวย์ จะแปลงโปรโตคอล ให้เหมาะสมกับอุปกรณ์ที่ต่างชนิดกัน จัดเป็นอุปกรณ์ที่มีราคาแพง และติดตั้งใช้งานยุ่งยาก เกตเวย์บางตัว จะรวมคุณสมบัติในการเป็น เร้าเตอร์ ด้วยในตัว หรือแม้กระทั่ง อาจรวมเอาฟังก์ชั่นการทำงาน ด้านการรักษาความปลอดภัย ที่เรียกว่า ไฟร์วอลล์ (Firewall) เข้าไว้ด้วยกัน
 โมเดม (Modem)
 

วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

การประยุกต์เทคโนโลยีสารสนเทศ

การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับงาน
ด้านธุรการ
             โทรสาร (Facsimile) โทรสารหรือแฟ็กซ์ (Fax) เป็นวิวัฒนาการด้านอุปกรณ์การสื่อสารข้อมูล ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อส่งผ่านสารสนเทศจากต้นแหล่งไปยังผู้รับปลายทาง โดยใช้ความเร็วในการส่งข้อมูลสูง ระบบการทำงานของเครื่องโทรสารเป็นกระบวนการที่เครื่องส่งฉายแสงไปที่เอกสาร รูปถ่าย ภาพเขียน หรือสัญลักษณ์ต่างๆ อันเป็นต้นฉบับ เพื่อเปลี่ยนภาพหรืออักษรเป็นสัญญาณไฟฟ้า แล้วส่งไปตามช่องทางคมนาคมต่างๆ อาทิ ไมโครเวฟ สายโทรศัพท์ เครื่องส่งวิทยุ เมื่อเครื่องรับปลายทางได้รับสัญญาณดังกล่าว ก็จะเปลี่ยนสัญญาณนั้นให้ปรากฏเป็นภาพหรือข้อความตรงตามต้นฉบับ
              จุดประสงค์
               1. เพื่อให้สะดวกรวดเร็วในการโอนถ่ายข้อมูลให้รวดเร็ว ไม่ล่าช้า 
               2. เพื่อนำเทคโนโลยีสารสนเทศทางด้านโทรสารเข้ามาใช้แทนการส่งจดหมาย ในยามที่มีเหตุฉุกเฉิน ทันต่อเหตุการณ์
               3. เพื่อให้ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นยืดเยื้อ
              ลักษณะ : เป็นเครื่องมือสื่อสารที่ใช้ในการส่งเอกสารที่อาจจะเป็นภาพหรือตัวอักษรหรือทั้งสองอย่างพร้อมกัน
                     
            ขั้นตอนในการทำ :  ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการใช้เครื่องโทรสารให้เข้าใจถ่องแท้ คือ เครื่องโทรสารจะส่งเอกสารที่อาจจะเป็นภาพหรือตัวอักษรหรือทั้งสองอย่างพร้อมกันโดยส่งสัญญาณผ่านสายโทรศัพท์ (phone line ) โดยใช้ตัวสแกนภาพ (Image scanner ) Modem และ Printer ขั้นตอนคือตัวสแกนภาพ (Image scanner) 
จะเปลี่ยนภาพและตัวอักษรให้อยู่ในรูปของสัญญาณ ดิจิตอล ( Digital image) ตัว modem จะเป็นตัวส่งสัญญาณดิจิตอล ( Digital data ) 
ผ่านไปทางสายโทรศัพท์ (Phone line ) สุดท้าย printer ที่ปลายทางหรือผู้รับจะพิมพ์ภาพหรือตัวอักษรในรูปของเอกสารออกมาเป็นขั้นตอนสุดท้าย Alexander Bain ชาวสก็อตเป็นคนแรกที่ได้รับสิทธิบัตรเครื่องโทรสารในปี ค.ศ. 1843 โดยใช้ความรู้ในเรื่องของ Electric clock pendulums ในการสร้างภาพที่ละเส้น ( Line-by-line scanning
mechanism )
                วิธีการใช้เครื่องโทรสาร (Fax) 
  (1) ให้กดหมายเลขแฟ็กซ์ของผู้รับแฟ็กซ์ด้วยการใช้ปุ่มหมายเลขหรือให้ใช้หมายเลขโทรด่วนที่ได้ทำการตั้งเป็นรหัสไว้
หมายเหตุ
สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการใช้งานหมายเลขโทรด่วนที่ได้ทำการตั้งเป็นรหัสไว้นั้น โปรดดูในส่วน การโทรด้วยการใช้หมายเลขโทรด่วนที่ได้ทำการตั้งเป็นรหัสไว้ 
(2) ให้กดปุ่ม Color เมื่อต้องการส่งข้อมูลแฟ็กซ์สี หรือกดปุ่ม Black เพื่อต้องการส่งข้อมูลแฟ็กซ์แบบขา

(3) เมื่อข้อความดังต่อไปนี้ปรากฏขึ้นมา ให้วางหน้าเอกสารหน้าต่อไปลงบนแผ่นกระจก
หากเอกสารที่ท่านต้องการสแกนนั้นมีเพียงหน้าเดียว ให้ข้ามไปที่ขั้นตอนที่  
(4) ให้กดปุ่มเดิมที่ท่านกดในขั้นตอนที่ (2)
(5) ให้กระทำขั้นตอนที่ (3) และ (4) ซ้ำเพื่อทำการสแกนหน้าเอกสารทั้งหมดที่ตัวเอกสารมี

วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2554

บทบาทและประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศ

ใน ปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศได้เข้ามามีบทบาทและความสำคัญต่อการดำเนินชีวิต ของเรามากโดยเฉพาะเมืองใหญ่ๆ ที่มีอุปกรณ์การสื่อสารที่ทันสมัย เราจึงจำเป็นต้องศึกษาเรียนรู้เพื่อจะได้ใช้งานได้อย่างเหมาะสมและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด

1. บทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศ


บทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ได้ดังนี้

1. บทบาทต่อการดำเนินชีวิต เช่น การติดต่อสื่อสารและการคมนาคมขนส่ง

2. บทบาทเกี่ยวกับข้อมูล เช่น การจัดเก็บข้อมูลและการสร้างฐานข้อมูล การสื่อสารข้อมูล เป็นต้น

3. บทบาทด้านธุรกิจ เช่น งานด้านการตลาด การวิเคราะห์แนวโน้มการเจริญเติบโตของบริษัท

4. บทบาทด้านการศึกษา เช่น โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ซอฟท์แวร์สื่อการสอน

5. บทบาทด้านการวิจัย เช่น การวิจัยเกี่ยวกับเรื่องการพัฒนาประเทศ การวิจัยด้านการเกษตร การวิจัยด้านการแพทย์ การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ฯลฯ ต้ออาศัยเทคโนโลยีโดยเฉพาะโปรแกรมคอมพิวเตอร์ด้านการประมวลผลข้อมูล เข้ามาช่วยเพื่อใช้งานวิจัยเพื่อต้องการความถูกต้องและความแม่นยำสูง

6. บทบาทด้านการทหาร เช่น การสื่อสารระหว่างหน่วยงานทางราชการ งานด้านข่าวกรอง

7. บทบาทด้านการแพทย์ เช่น การรักษาพยาบาล การผ่าตัด การตรวจโรค

8. บทบาทด้านอื่นๆ เช่น ด้านการบิน การโรงแรม การกีฬาและการผลิตสินค้าในโรงงานอุตสาหกรรม

โดยสรุป เทคโนโลยีสารสนเทศมีบทบาทและความสำคัญต่อเราในแทบทุกด้าน ทั้งด้านการประกอบอาชีพการงาน การศึกษาเล่าเรียน การติดต่อสื่อสาร การรักษาพยาบาล



2. ความสัมพันธ์ของข้อมูลและสารสนเทศ

ข้อมูลกับสารสนเทศมีความหมายที่แตกต่างกัน คือ

ข้อมูล (Data) หมายถึง ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับคน สัตว์ สิ่งของ และเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน อาจอยู่ในรูปแบบของตัวอักษรหรือตัวเลขก็ได้ เป็นข้อเท็จจริงที่มีการเก็บรวบรวมไว้ยังไม่ได้ผ่านกระบวนการประมวลผลใดๆ เช่น ข้อมูลรายการซื้อขายรายวัน ข้อมูลสินค้าคงเหลือรายวัน

สารสนเทศ (Information) หมายถึง ผลลัพธ์ที่ได้จากการนำเอาข้อมูลมาทำการประมวลผล หรือเปลี่ยนแปลงด้วยกรรมวิธีที่เชื่อถือได้จนเป็นข่าวสารที่พร้อมสำหรับนำไปใช้งานหรือใช้ประโยชน์ด้านใดด้านหนึ่งตามที่ผู้ใช้ต้องการ

3. กระบวนการผลิตสารสนเทศ

สินค้า ต่างๆ เกิดจากการนำเอาวัตถุดิบมาผ่านกระบวนการผลิตเมื่อผ่านขั้นตอนนี้ก็จะได้ สินค้าสำเร็จรูปที่พร้อมสำหรับนำออกวางจำหน่ายตามท้องตลาด เช่น การผลิตเสื้อ เกิดจากการนำเอาใยผ้ามาผ่านการฟอก การย้อม การออกแบบ การตัดเย็บและขั้นตอนอื่นๆ จนเสร็จเป็นเสื้อตัวหนึ่ง เปรียบได้กับการผลิตสารสนเทศที่เกิดขึ้นจากการนำเอาข้อมูลมาทำการประมวลผล จากนั้นจะได้สารสนเทศ ที่พร้อมสำหรับการนำไปใช้ประโยชน์



กระบวนการในการผลิตสารสนเทศ เรียกว่า การประมวลผล (Processing) มีองค์ประกอบ ดังนี้

1. การจัดเก็บข้อมูล เป็นขั้นตอนของการจัดเตรียมข้อมูล การรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญ หากมีการจัดเตรียมข้อมูลที่ดีผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลย่อมดีตามไปด้วย

2. การบันทึกข้อมูล เป็นขั้นตอนการนำเอาข้อมูลที่มีการจัดเก็บหรือจัดเตรียมไว้มาทำการบันทึกลงในเรื่องคอมพิวเตอร์ เช่น บันทึกไว้ในแผ่นดิสเก็ต ซีดีรอม

3. การตรวจสอบความถูกต้อง เป็นขั้นตอนของการตรวจสอบข้อมูลที่ได้ทำการบันทึกลงในเครื่องคอมพิวเตอร์แล้ว โดยตรวจสอบว่าถูกต้องตรงกับข้อมูลต้นฉบับหรือไม่ และมีความสมเหตุสมผลหรือไม่

4. การจัดกลุ่มและการแยกประเภทข้อมูล เป็นขั้นตอนของการจัดกลุ่มและแยกประเภทข้อมูล ให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย เป็นหมวดหมู่อย่างเหมาะสม เพื่อความสะดวกและรวดเร็วในการเรียกใช้งาน

5. การประมวลผล เป็นขั้นตอนที่ข้อมูลจะกลายเป็นสารสนเทศโดยนำเอาข้อมูลที่ได้จัดเตรียมไว้มาทำการประมวลผล เพื่อสร้างเป็นผลลัพธ์ เช่น นำเอาคะแนนสอบทั้งปีของนักเรียนมาทำการประมวลผลเป็นคะแนนรวมเพื่อตัดเกรดของนักเรียน

6. การจัดทำรายงาน เป็น ขั้นตอนของการนำเอาสารสนเทศที่ได้จากการประมวลผลมาใช้ประโยชน์โดยจัดทำเป็น รายงานในรูปแบบต่างๆ ตามความเหมาะสมกับชนิดของงานแต่ละอย่าง เพื่อความถูกต้องและสะดวกรวดเร็วในการนำไปประกอบการตัดสินใจ



4. องค์ประกอบของเทคโนโลยีสารสนเทศ

เทคโนโลยีสารสนเทศหรือไอที (Information Technology : IT) คือเทคโนโลยีที่มีความสำคัญต่อสังคมในปัจจุบัน เพราะเกี่ยวข้องกับการจัดเก็บ การประมวลผลและการแสดงผลสารสนเทศ มีองค์ประกอบหลัก 2 ส่วน คือ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีการสื่อสารโทรคมนาคม (Computer and Communication)

4.1 เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์จัดเป็นเทคโนโลยีหลักของเทคโนโลยีสารสนเทศในยุคปัจจุบัน เนื่องจากคอมพิวเตอร์มีคุณสมบัติครบถ้วนทั้งด้านการบันทึก การจัดเก็บ การประมวลผล การแสดงผล และการสืบค้นหาข้อมูลสารสนเทศ

เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์แบ่งเป็นเทคโนโลยีย่อยที่สำคัญได้ 2 ส่วน คือเทคโนโลยีฮาร์ดแวร์และเทคโนโลยีซอฟท์แวร์

1) เทคโนโลยีฮาร์ดแวร์ หมายถึง อุปกรณ์ทุกชนิดที่ประกอบขึ้นเป็นตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ที่ต่อพ่วงเพื่อเชื่อมโยงจำแนกตามหน้าที่การทำงานออกเป็น 4 ส่วน คือ

(1) หน่วยรับข้อมูล (Input Unit) เป็น อุปกรณ์ที่มีหน้าที่รับคำสั่งและข้อมูลต่างๆ เข้าไปเพื่อทำการประมวลผลด้วยการเปลี่ยนรหัสของคำสั่งหรือข้อมูลที่ป้อนเข้า ไปให้เครื่องอุปกรณ์ที่จัดเป็นหน่วยรับข้อมูล เช่น เมาส์ แป้นพิมพ์ เครื่องสแกนเนอร์

(2) หน่วยประมวลผลกลางหรือซีพียู (Central Processing Unit) เป็น อุปกรณ์ที่ปฏิบัติตามคำสั่งที่ป้อนผ่านเข้ามาทางอุปกรณ์ของหน่วยรับข้อมูล เพื่อให้เรื่องคอมพิวเตอร์ทำงานตามคำสั่งที่ผู้ใช้ต้องการ เช่น การคำนวณ การเปรียบเทียบค่าของข้อมูล

(3) หน่วยแสดงผลข้อมูล (Output Unit) เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ที่อยู่ในรูปของรหัสคอมพิวเตอร์ให้เป็นสัญลักษณ์หรือรหัสสำหรับแสดงผล เช่น จอภาพ เครื่องพิมพ์หรือลำโพง เป็นต้น

(4) หน่วยความจำสำรอง (Secondary Storage Unit) เป็นอุปกรณ์ที่มีหน้าที่เก็บคำสั่งและข้อมูลพักไว้เพื่อเตรียมนำไปไว้ในการประมวลผล อุปกรณ์ หน่วยความจำสำรองที่เกิดขึ้นเพราะหน่วยความจำหลักเก็บข้อมูลไม่เพยงพอจึง ต้องมีการนำเอาหน่วยความจำสำรองเข้ามาช่วยในการจัดเก็บข้อมูลต่างๆ อุปกรณ์ที่จัดเป็นหน่วยความจำสำรอง ได้แก่ Hard Disk, Diskette, CD-ROMและDVD-ROM 

2) เทคโนโลยีซอฟท์แวร์ (Software) หมายถึง โปรแกรมหรือชุดคำสั่งที่ทำหน้าที่สั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานตามที่ผู้ใช้ต้องการ ซอฟท์แวร์คอมพิวเตอร์แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ

(1) ซอฟท์แวร์ระบบ (System Software) หรือชุดคำสั่งที่ทำหน้าที่สั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ทำงานตามคำสั่ง

(2) ซอฟท์แวร์ประยุกต์ (Application Software) คือชุดคำสั่งที่ผู้ใช้ส่งเข้าสู่เครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานตามที่ผู้ใช้ต้องการ

4.2 เทคโนโลยีการสื่อสารโทรคมนาคม

เทคโนโลยีการสื่อสารโทรคมนาคม หมายถึง เทคโนโลยีที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารกันทั่วไป เช่น ระบบโทรศัพท์ ระบบดาวเทียม ระบบเครือข่ายเคเบิล และระบบสื่อสารอื่นๆ ที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารกัน



5. ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ

ระบบสารสนเทศ (Information System) หมายถึง กระบวนการประมวลผลข้อมูลข่าวสารหรือการจัดการข้อมูลข่าวสารให้อยู่ในรูปแบบที่มีระบบ เป็นระเบียบ เป็นหมวดหมู่ เพื่อความสะดวกในการเรียกใช้และเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจของผู้บริหาร

ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ (Management Information System : MIS) หมายถึง วิชาที่ว่าด้วยการเก็บรวบรวมข้อมูล การจัดเก็บข้อมูลที่มอยู่ให้เป็นระบบ เพื่อการเรียกใช้ข้อมูลอย่างรวดเร็วในเวลาที่ต้องการ รวมไปถึงวิธีการต่างๆ ในการประมวลผล การวิเคราะห์ผลที่ได้จากการประมวลผลและการแสดงผลข้อมูล

5.1 ความสำคัญของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ

ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการมีความสำคัญและมีประโยชน์ต่อองค์กร ดังนี้

1) สนับสนุนการทำงานขององค์กร เป็นการใช้ระบบสารสนเทศเพื่อประกอบการทำงานตามภาระหน้าที่ขององค์กรนั้นๆ

2) สนับสนุนการตัดสินใจในระดับต่างๆ การทำงานขององค์กรนั้นจะต้องมีการตัดสินใจโดยจะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อมูล ซึ่งก็คือ สารสนเทศที่เป็นระบบนั่นเอง

3) สนับสนุนการวางแผนระยะยาวขององค์กร ระบบสารสนเทศมีความสำคัญมากต่อการวางแผนการทำงานขององค์กร เพราะแผนงานจะเกิดประสิทธิผลหรือมีประโยชน์ต่อองค์กรได้นั้นจำเป็นต้องอาศัยสารสนเทศที่มีคุณภาพ

4) สนับสนุนการวางแผนระบบปฏิบัติงานให้มีมาตรฐาน ช่วยในการวิเคราะห์ปัญหาและหาทางแก้ไขปัญหานั้นๆ

5.2 ส่วนประกอบของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ

ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการประกอบด้วยองค์ประกอบที่สำคัญ ดังนี้

1) ฮาร์ดแวร์ (Hardware) หมายถึง เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงทั้งหมด เช่น แป้นพิมพ์ เมาส์ หน่วยประมวลผลกลาง จอภาพ เครื่องพิมพ์ และอุปกรณ์เชื่อมต่อทั้งหมด

2) ซอฟท์แวร์ (Software) หรือ โปรแกรม หมายถึงชุดคำสั่งต่างๆ ที่มีวัตถุประสงค์หลักในการสั่งให้ฮาร์ดแวร์ทำงาน คือ การประมวลผลข้อมูลให้เกิดเป็นสารสนเทศ

3) ข้อมูล (Data) หมายถึง ข้อเท็จจริงต่างๆ ที่ใช้ในการประมวลผล ตามข้อมูลที่ถูกป้อนเข้าสู่เครื่องโดยผ่านทางหน่วยรับข้อมูล

4) กระบวนการทำงาน (Procedure) คือ ขั้นตอนต่างๆ ของการทำงานเพื่อให้ได้ผลลัพธ์หรือสารสนเทศในการทำงานของหน่วยงาน เช่น การสร้างผังงาน (Flow chart)

5) บุคลากรทางสารสนเทศ (Information System Personal) เช่น โปรแกรมเมอร์ นักออกแบบระบบ โดยเป็นผู้จัดการทุกอย่างให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

6) ผู้ใช้ (User) เป็นผู้สั่งงานให้คอมพิวเตอร์ทำงาน เช่น พนักงานพิมพ์เอกสาร พนักงานฝ่ายบัญชี

5.3 ประเภทของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ

ประเภทของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการแบ่งตามลักษณะงานต่างๆ ได้ดังนี้

1) ระบบการประมวลผลรายการระบบ หรือ ทีพีเอส (Transaction Processing System : TSP) เป็นการใช้คอมพิวเตอร์ระดับพื้นฐานเพื่อการประมวลผลรายการหรือรายละเอียดที่เกิดขึ้นประจำวันให้เกิดความราบรื่น เช่น รายการซื้อขายสินค้า รายจ่ายต่างๆ

2) ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ (Management Information System : MIS) เป็นระบบที่พัฒนาขึ้นมาโดยมีจุดประสงค์เพื่อรวบรวมข้อมูลและสารสนเทศที่เป็นประโยชน์ต่อการควบคุม กำกับ จัดการเกี่ยวกับงานขององค์กร เป็นระบบที่นำเอาข้อมูลจากระบบทีพีเอสมาจัดทำเป็นรายงานเพื่อให้ผู้บริหารใช้เพื่อประกอบการตัดสินใจ

3) ระบบช่วยการตัดสินใจ (Decision Support System : DSS) เป็นระบบที่ช่วยในการจัดเตรียมสารสนเทศเพื่อช่วยในการตัดสินใจ หากเป็นการใช้โดยผู้บริหารระดับสูง ระบบนี้เรียกว่า ระบบสนับสนุนการตัดสินใจเพื่อการบริหาร ระบบนี้ช่วยสนับสนุนการตัดสินใจในการวางแผนเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น

4) ระบบสารสนเทศเพื่อผู้บริหาร (Executive Information System : EIS) เป็นระบบสารสนเทศที่พัฒนาเพื่อผู้บริหารโดยเฉพาะ ช่วยให้มีความล่องตัวในการวางแผน กำหนดนโยบาย

5) ระบบสำนักงานอัตโนมัติ (Office Automatic System : OAS) เป็นระบบสารสนเทศที่สนับสนุนการสื่อสารภายในองค์กรหรือกับหน่วยงานภายนอกก็ ได้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของทุกคนโดยใช้อุปกรณ์เทคโนโลยีที่ทันสมัย ระบบ OAS ครอบคลุมงานสำนักงาน 4 ด้าน คือ งานด้านการจัดการเอกสาร งานด้านข้อมูล งานด้านการประชุมและงานสนับสนุนสำนักงาน

6) ระบบผู้เชี่ยวชาญ (Artificial Intelligence/Expert System : Al/ES) เป็นระบบที่ใช้ผู้เชี่ยวชาญแต่ละสาขาอาชีพทำการใส่ข้อมูลไว้ในเครื่อง คอมพิวเตอร์เพื่อให้เครื่องสามารถวิเคราะห์ข้อมูลประกอบการตัดสินใจ เป็นเสมือนผู้เชี่ยวชาญอยู่ร่วมช่วยตัดสินใจสำหรับความรู้ที่เก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ประกอบด้วยความรู้พื้นฐานและกฎข้อวินิจฉัย

ประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศ
ชีวิตความเป็นอยู่ในปัจจุบันเกี่ยวข้องกับสารสนเทศต่างๆ มากมาย การอยู่รวมกันเป็นสังคมของมนุษย์ทำให้ต้อง
เสียเวลาในการสื่อสารถึงกัน ต้องติดต่อและทำงานหลายสิ่งหลายอย่างร่วมกันสมองของเราต้องจดจำสิ่งต่างๆ ไว้มากมาย
ต้องจดจำรายชื่อผู้ที่เราเกี่ยวข้องด้วย จดจำข้อมูลต่างๆ ไว้เพื่อใช้ประโยชน์ในภายหลัง สังคมจึงต้องการความเป็นระบบ
ที่มีรูปแบบชัดเจน เช่น การกำหนดเลขบ้าน ชื่อถนน อำเภอ จังหวัด ทำให้สามารถติดต่อส่งจดหมายถึงกันได้ เลขบ้าน
เป็นสารสนเทศอย่างหนึ่งที่ใช้งานกันอยู่

เพื่อให้สารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์เป็นระบบมากขึ้น จึงมีการจัดการสารสนเทศเหล่านั้นในลักษณะเชิงระบบ
เช่น ระบบทะเบียนราษฎร์ มีการใช้เลขประจำตัวประชาชน ซึ่งมีเลขรหัส 13 ตัว แต่ละตัวจะมีความหมายเพื่อใช้ในการ
ตรวจสอบ เช่น แบ่งตามประเภท ตามถิ่นที่อยู่ การเข้ารับการตรวจรักษาในโรงพยาบาลก็ต้องมีการลงทะเบียน การสร้าง
เวชระเบียน ระบบเสียภาษีก็มีการสร้างรหัสประจำตัวผู้เสียภาษี นอกจากนี้มีการจดทะเบียนรถยนต์ ทะเบียนการค้า
ทะเบียนโรงงาน ฯลฯ

การใช้สารสนเทศเกี่ยวข้องกับทุกคน การเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศจึงมีความจำเป็น ปัจจุบันเราใช้จ่าย
เงินซื้อสินค้าด้วยบัตรเครดิต เบิกเงินด้วยบัตรเอทีเอ็ม การโอนย้ายช้อมูล ในลักษณะอิเล็กทรอนิกส์เกี่ยวข้องกับเรามากขึ้น


เทคโนโลยีสารสนเทศจึงเป็นเทคโนโลยีแห่งศตวรรษนี้ ที่ใช้ในการจัดเก็บรวบรวมข้อมูล ข้อมูลจำนวนมากได้รับ
การบันทึกไว้ในรูปแบบที่ให้เครื่องจักรอ่านได้ เช่นอยู่ในแถบบันทึกไว้ในรูปแบบที่ให้เครื่องจักรอ่านได้ เช่น
อยู่ในแถบบันทึก แผ่นบันทึก แผ่นซีดีรอม ดังจะเห็นเอกสารหรือหนังสือ หรือสารานุกรมบรรจุในแผ่นซีดีรอม หนังสือทั้งตู้อาจเก็บในแผ่นซีดีรอมเพียงแผ่นเดียว

การสื่อสารข้อมูลที่เห็นเด่นชัดขณะนี้ และกำลังมีบทบาทมากอย่างหนึ่งคือ ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งคือการส่งข้อ
ความถึงกันโดยผ่านคอมพิวเตอร์ กล่าวคือ ผู้ใช้นั่งอยู่หน้าจอภาพ พิมพ์ข้อความเป็นจดหมายหรือเอกสาร พิมพ์เลขที่อยู่
ของไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ของผู้รับแล้วส่งผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ผู้รับก็สามารถเปิดคอมพิวเตอร์ของผู้รับเพื่อค้นหา
จดหมายได้และสามารถตอบโต้กลับได้ทันที

 
 
การจัดการข้อมูลด้วยไมโครคอมพิวเตอร์ทำได้สะดวก ไมโครคอมพิวเตอร์จึงเป็นที่นิยมสำหรับการจัดการข้อมูลใน
ยุคปัจจุบัน ขณะเดียกันไมโครคอมพิวเตอร์ก็มีราคาลดลง และมีขีดความสามารถเพิ่มขึ้น จึงเชื่อแน่ว่าบทบาทของ
การจัดการข้อมูลในชีวิตประจำวันจะเพิ่มมากขึ้นต่อไป
โครงสร้างและรูปแบบของข้อมูลที่ประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ เป็นโครงสร้างที่จะต้องมีรูปแบบชัดเจนและแน่นอน การจัดการข้อมูลจึงต้องมีข้อตกลงเฉพาะ เช่นการกำหนดรหัสเพื่อใช้แยกแยะข้อมูล รหัสจึงมีความสำคัญ เพราะ
คอมพิวเตอร์สามารถแยกแยะข้อมูลด้วยรหัสได้ง่าย ลองนึกว่าหากมีข้อมูลจำนวนมากแล้วให้คอมพิวเตอร์ค้นหา โดยค้นหา
ตั้งแต่หน้าแรกเป็นต้นไป การดำเนินการเช่นนี้ กว่าจะค้นพบอาจไม่ทันต่อความต้องการการดำเนินการเกี่ยวกับข้อมูล
จึงต้องมีการกำหนดเลขรหัส เช่น รหัสประจำตัวประชาชน รหัสเลขคนไข้ รหัสทะเบียนรถยนต์ ทะเบียนใบขับขี่ เป็นต้น การจัดการในลักษณะนี้จึงต้องมีการสร้างระบบเพื่อความหมาะสมกับการทำงานของคอมพิวเตอร์เป็นสำคั
 
ข้อเด่นของการประมวลผลข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์ นอกจากในเรื่องความเร็วและความแม่นยำแล้ว ยังเป็นเรื่องของการ
คัดลอกและแจกจ่ายข้อมูลไปยังผู้ใช้ได้สะดวก ข้อมูลที่เก็บในรูปแบบสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์สามารถเปลี่ยนถ่ายระหว่าง
ตัวกลางได้ง่าย เช่น การสำเนาระหว่างแผ่นบันทึกข้อมูลทำสำเร็จได้ในเวลาไม่นาน
ด้วยความก้าวหน้าและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมในยุคของสารสนเทศ การปรับตัวของสังคมจึงต้องเกิดขึ้น
ประเทศที่เจริญแล้วประชากรส่วนใหญ่จะอยู่กับเครื่องจักรเครื่องมือต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับสารสนเทศ มีเครือข่ายการให้
บริการใหม่ๆ เพิ่มขึ้นหลายอย่าง ขณะที่เราอยู่บ้าน อาจใช้โทรทัศน์ติดต่อเข้าระบบเครือข่ายการให้บริการใหม่ เพิ่มขึ้น
มาหลายอย่าง ขณะที่เราอยู่บ้าน อาจใช้โทรทัศน์ติดต่อเข้าระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (Internet) เพื่อขอดูราคาสินค้า
ขอดูข่าวเกี่ยวกับดินฟ้าอากาศ ข่าวความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการเมือง อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา นอกจากนี้ยังมีระบบการ
สั่งซื้อของผ่านทางเครือข่ายคอมพิวเตอร์ แม่บ้านใช้คอมพิวเตอร์ส่วนตัวที่บ้านต่อเชื่อมผ่านเครือข่ายสายโทรศัพท์
ไปยังห้างสรรพสินค้า เพื่อเปิดดูรายการสินค้าและราคา แม่บ้านสามารถสั่งซื้อได้เมื่อต้องการ
 
 
บทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศที่กำลังเปลี่ยนแปลงสังคมนี้เอง ผลักดันให้เราต้องศึกษาหาความรู้เพื่อปรับตัว
ให้เข้ากับสังคมได้ กระทรวงศึกษาธิการได้เพิ่มเติมหลักสูตรเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์เข้าไปในหลักสูตรมัธยมศึกษา
หลายรายวิชา โดยมุ่งเน้นให้เยาวชนของชาติได้มีโอกาสเรียนรู้เทคโนโลยีเหล่านี้ หากไม่หาทางปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยี
และเรียนรู้ให้เข้าใจ เพื่อให้มีการพัฒนาสังคมไทยได้อย่างเหมาะสม เราจะตกเป็นทาสของเทคโนโลยี เราจะเป็นเพียง
ผู้ใช้ที่ต้องเสียเงินตราให้ต่างประเทศอีกมากมาย